ออกแบบอนาคตดิจิทัล: การรับมือทางกฎหมายของประเทศไทย

นายอานนท์ ธนเศรษฐ์ ผู้เชี่ยวชาญเชิงนโยบายจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกอ.) จะนำเสนอภาพรวมการบริหารจัดการเทคโนโลยีของประเทศไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2024.

โดย อานนท์ ตานะเศรษฐ ผู้เชี่ยวชาญนโยบาย สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.)

เศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยได้พัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจากปัจจัยผลักดันต่าง ๆ เช่น การเข้าถึงอินเตอร์เน็ตที่เพิ่มสูงขึ้น การใช้งานโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนที่แพร่หลายมากยิ่งขึ้น และการสนับสนุนจากรัฐบาล อย่างไรก็ตาม การเติบโตนี้ก็มาพร้อมกับความท้าทายใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแพร่ระบาดของการหลอกลวงผ่านช่องทางออนไลน์ ข้อมูลบิดเบือน และภัยคุกคามด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (cybersecurity) ซึ่งประเทศไทยจำเป็นต้องหาจุดสมดุลในการรับมือกับภูมิทัศน์ (landscape) ด้านดิจิทัลนี้ระหว่างการพัฒนาและใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ กับการออกกฎหมาย กฎ ระเบียบในการกำกับดูแล เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากการใช้เทคโนโลยีควบคู่กับการลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นไปพร้อม ๆ กัน

ภูมิทัศน์ของหน่วยงานกำกับดูแลด้านเทคโนโลยี

            ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 นี้ พบว่าไม่มีการจัดตั้งหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลเทคโนโลยีขึ้นมาใหม่ในระดับหน่วยงาน อย่างไรก็ตาม ได้มีพัฒนาการสำคัญในระดับอื่น ๆ เช่น การเปิดแผนกคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในศาลอาญา ซึ่งเริ่มดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2024 ที่ผ่านมา โดยแผนกคดีนี้จัดตั้งขึ้นเพื่อรับมือกับคดีอาชญากรรมทางไซเบอร์ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นคดีฉ้อโกงทางออนไลน์หรือคดีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนมากเกินกว่าที่ศาลอาญาดั้งเดิมจะรับมือไหว การจัดตั้งแผนกคดีนี้ยังเน้นย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการออกกรอบการกำกับดูแลเป็นพิเศษสำหรับการกำกับดูแลอาชกรรมทางไซเบอร์ที่นับวันจะเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ

            นอกจากนี้ อีกหนึ่งพัฒนาการที่สำคัญคือการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางในการควบคุมและส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตโดยรัฐสภาเมื่อเดือนมกราคม 2024 โดยคณะกรรมาธิการนี้มีหน้าที่ในการศึกษาแนวทางในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) พร้อมกับการลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งองค์ประกอบของคณะกรรมาธิการดังกล่าวประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจากภาคเอกชนและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้ได้มุมมองที่หลากหลายทั้งในเชิงกฎหมายและการใช้งานภาคอุตสาหกรรม และข้อค้นพบและข้อเสนอแนะจากคณะกรรมาธิการชุดนี้จะถูกจัดทำเป็นรายงานและนำเสนอต่อที่ประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป

            หนึ่งในข้อสังเกตที่สำคัญเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนในแง่หน่วยงานกำกับดูแลของประเทศไทย คือ เนื่องจากปัจจุบันนโยบายของประเทศให้ความสำคัญกับการลดขนาดภาครัฐและด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณ จึงเป็นเรื่องยากที่ประเทศไทยจะจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาใหม่โดยเฉพาะสำหรับการกำกับดูแลเรื่องเหล่านี้โดยเฉพาะ แต่ภาครัฐมักจะใช้วิธีการเพิ่มหน้าที่และอำนาจใหม่ ๆ ให้แก่หน่วยงานที่มีอยู่แล้ว หรือทำงานผ่านการแต่งตั้งคณะกรรรมการขึ้นมาใหม่ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีที่ถูกจัดตั้งขึ้นล่าสุดคือ สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) ซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นในปี 2023 โดยแยกตัวออกมาจากการเป็นสถาบันภายใต้สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล

ภูมิทัศน์ของกฎหมายด้านเทคโนโลยี

            พัฒนาการด้านกฎหมาย กฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลเทคโนโลยีในช่วงต้นปี 2024 นี้มาจาก 2 หน่วยงานสำคัญ ได้แก่ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) และสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ซึ่งได้ออกประกาศและแนวทางหลายฉบับ ดังนี้

            สพธอ. ได้ออกเอกสารสำคัญจำนวน 2 ฉบับ คือ 1. ข้อเสนอแนะแนวทางการจัดทำนิติกรรมหรือสัญญาในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และ 2. คู่มือการดูแลโฆษณาบนบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยเอกสารฉบับแรกทำหน้าที่กำหนดมาตรฐานสำหรับการทำนิติกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ในขณะที่ฉบับหลังเป็นการออกมาตรการดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลในการดูแลและจัดการโฆษณา ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้การโฆษณาออนไลน์มีความปลอดภัยและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น แนวทางเหล่านี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับภัยคุกคามทางออนไลน์และข้อมูลบิดเบือน รวมถึงการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ และการฉ้อโกงและหลอกลวงทางออนไลน์

            ในขณะเดียวกัน สกมช. ได้ออกประกาศสำคัญหลายฉบับในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดมาตรฐานของระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์และแนวทางต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีเอกสารสำคัญ 4 ฉบับ ได้แก่ มาตรฐานและแนวทางส่งเสริมพัฒนาระบบการให้บริการเกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ มาตรฐานขั้นต่ำของข้อมูลหรือระบบสารสนเทศ แนวทางการจัดทำแผนการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และหน้าที่ของหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศและหน่วยงานควบคุมหรือกำกับดูแล โดยประกาศหรือแนวทางเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติที่ดีสำหรับแต่ละขั้นตอนของความปลอดภัยทางไซเบอร์ ตั้งแต่การวางแผนไปจนถึงการดำเนินการ นอกจากนี้ยังได้พัฒนาระบบการรับรองมาตรฐานคุณภาพความปลอดภัยทางไซเบอร์อีกด้วย

นอกจากนี้ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้ออกหลักเกณฑ์การอนุญาตให้หน่วยงานของรัฐและหน่วยงานเอกชนใช้บริการระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (DOPA-Digital ID) และระบบพิสูจน์ตัวตนด้วยใบหน้าทางดิจิทัล (Face Verification Service : FVS) ของกรมการปกครอง ซึ่งช่วยให้สามารถเปรียบเทียบภาพใบหน้าจริงกับบันทึกของรัฐบาลแบบเรียลไทม์ โดยหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้เพื่อปรับปรุงกระบวนการยืนยันตัวตนโดยยื่นคำขอต่อกรมการปกครองตามแนวทางดังกล่าว

โครงการริเริ่มด้านเศรษฐกิจดิจิทัลที่สำคัญ

            รัฐบาลไทยได้สนับสนุนโครงการริเริ่มด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีต่าง ๆ ผ่านการดำเนินงานตั้งแต่ระดับหน่วยงานจนถึงระดับประเทศ โดยในระดับประเทศนั้น รัฐบาลได้เปิดตัววิสัยทัศน์ “Ignite Thailand” ซึ่งแบ่งออกเป็น 8 ด้านหลัก โดยหนึ่งในนั้นคือการทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลหรือ Digital Economy Hub ซึ่งรัฐบาลมีเป้าหมายที่จะดึงดูดอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น Digital for All, นวัตกรรมทางเทคโนโลยี และ AI ให้ขยายการดำเนินงานในประเทศไทย รวมถึงการส่งเสริมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลสำหรับ cloud computing และการวิจัยและการประยุกต์ใช้ AI เพื่อสนับสนุนวิสัยทัศน์นี้ รัฐบาลมีแผนจะเสนอความช่วยเหลือทางการเงิน เช่น กองทุนสมทบ เปลี่ยนแปลงกฎระเบียบเพื่อให้การดำเนินธุรกิจง่ายขึ้น และสร้างโมเดล Sandbox เพื่อดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีขั้นสูงเข้ามาลงทุนในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม โครงการริเริ่มเหล่านี้ยังอยู่ในขั้นตอนการวางแผน และคาดว่าจะได้รับการพัฒนาเป็นแผนยุทธศาสตร์โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) และหน่วยงานรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง

ในระดับกระทรวง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ก็มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมนวัตกรรมด้าน AI ผ่านโครงการ “อว. for AI” ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาบุคลากรด้าน AI นอกจากนี้ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) ก็กำลังอยู่ในขั้นตอนการวางแผนที่จะจัดตั้ง AI Governance Center โดยเป็นโครงการนำร่องภายใต้โครงการ AI Thailand ซึ่งจะมุ่งเน้นไปที่การสร้างชุดเครื่องมือการกำกับดูแล AI การกำหนดมาตรฐาน และการออกข้อบังคับใหม่ ๆ เพื่อสนับสนุนการวิจัยในภาคส่วนต่าง ๆ และให้คำแนะนำแก่หน่วยงานกำกับดูแล นอกจากนี้ ศูนย์แห่งนี้ยังมีเป้าหมายที่จะสร้างเครือข่ายนักวิจัย AI ระดับโลกและเสนอการฝึกอบรม การให้คำปรึกษา และบริการด้าน AI governance และจัดตั้งเป็นศูนย์ทดสอบ AI ที่มีสภาพแวดล้อมลักษณะของ Sandbox สำหรับการทดลองนวัตกรรมใหม่ ๆ

ก้าวข้างหน้าต่อไป

            ในภาพรวมนั้น ประเทศไทยได้มีพัฒนาการที่สำคัญหลายด้านในการจัดการกับความท้าทายในด้านเทคโนโลยีที่สำคัญ เช่น การรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์และข้อมูลบิดเบือนที่เพิ่มขึ้น การสร้างมาตรฐานและแนวปฏิบัติในการจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบ โดยประเทศไทยนั้นตระหนักถึงศักยภาพของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในฐานะตัวขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สำคัญ และกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาวิธีการที่จะนำ AI มาผนวกรวมกับการพัฒนาประเทศ นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องและส่งเสริมธุรกิจให้นำเทคโนโลยีมาใช้อย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังคงขาดความชัดเจนในแง่ของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ AI โดยเฉพาะในส่วนของการประยุกต์ใช้ในวิชาชีพต่าง ๆ เช่น การแพทย์ กฎหมาย ซึ่งหากไม่มีการออกกฎระเบียบที่ชัดเจนขึ้นในเร็ววันนี้ การนำ AI มาใช้ในประเทศอาจจะนำไปสู่ผลที่ไม่ได้ตั้งใจหรือการใช้งานโดยปราศจากการกำกับดูและการกำหนดความรับผิดชอบอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ การขาดนโยบายที่ชัดเจนอาจนำไปสู่ความล่าช้าในการพัฒนาบุคลากรทักษะสูง หรือการที่กำลังแรงงานถูกแทนที่ด้วยการนำ AI มาใช้ของหลาย ๆ บริษัทโดยไม่ได้มีการเตรียมการรองรับอย่างเพียงพอ

            อีกหนึ่งข้อกังวลที่สำคัญสำหรับภาครัฐคือความเร็วในการปรับตัวทางด้านกฎหมาย กฎ ระเบียบเพื่อรองรับเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งยังคงเป็นไปอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะในส่วนของหน่วยงานภาครัฐที่ไม่ได้มีบทบาทเกี่ยวข้องโดยตรงกับเทคโนโลยีดิจิทัลหรือนวัตกรรม  ซึ่งแม้ว่าการพัฒนากฎหมายหรือแนวทางการกำกับดูแลเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง AI ยังคงต้องใช้เวลาอีกซักระยะหนึ่ง แต่ก็เป็นประเด็นที่ทุกหน่วยภาคส่วนควรให้ความสนใจอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มั่นใจว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกนำมาประยุกต์ใช้ในแต่ละภาคส่วนอย่างเหมาะสมและทั่วถึง

            การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลให้ก้าวหน้าและยั่งยืน จำเป็นที่ประเทศจะต้องตั้งเป้าหมายและนโยบายระดับประเทศอย่างชัดเจน โดยกำหนดให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความรับผิดชอบร่วมกันในการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล นอกจากนี้ ประเทศไทยยังควรพัฒนาความร่วมมือกับรัฐบาลและองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการกำกับดูแลเทคโนโลยี รวมถึงให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาด้านความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลเพื่อให้แน่ใจว่าทุกภาคส่วนของสังคมสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้อย่างทั่วถึง ลดช่องว่างระหว่างบริษัทใหญ่และกลุ่มผู้มีทักษะสูงกับกลุ่มผู้ที่อาจจะประสบปัญหาในการเข้าถึงและปรับตัวกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งนโยบายและยุทธศาสตร์เหล่านี้สอดคล้องกับการเจรจาข้อตกลงกรอบเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน หรือ ASEAN Digital Economy Framework Agreement (DEFA) ที่มุ่งเน้นไปที่การประสานงานเกี่ยวกับกฎระเบียบด้านดิจิทัล การส่งเสริมการค้าข้ามพรมแดน และการสร้างความร่วมมือระหว่างกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมและยั่งยืนในยุคดิจิทัล โดยความร่วมมือดังกล่าวจะมีส่วนช่วยให้ประเทศไทยมีความเข้มแข็งภายใต้ภูมิทัศน์ดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และยังช่วยให้เกิดการพัฒนาความสามารถด้านดิจิทัลในภาพรวมของอาเซียน ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะนำไปสู่การเปิดทางไปยังอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีภายใต้ความเท่าเทียมสำหรับทั้งประเทศไทยและอาเซียนทั้งหมดต่อไป


ข้อคิดเห็นและคำแนะนำที่ปรากฏในบทความนี้เป็นความเห็นของผู้เขียน ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของ Tech for Good Institute

เกี่ยวกับผู้เชียน:

อานนท์ ตานะเศรษฐ เป็นผู้เชี่ยวชาญนโยบายของสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) โดยมีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาระบบนิเวศนวัตกรรมและกฎหมาย กฎ ระเบียบเกี่ยวกับนวัตกรรมและเทคโนโลยี เช่น กฎหมายส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม หรือ TRIUP Act นอกจากนี้ยังมีประสบการณ์ในการพัฒนานโยบายส่งเสริมธุรกิจสตาร์ทอัพและระบบนิเวศด้านความเป็นผู้ประกอบการในประเทศไทยอีกด้วย

Download Report

Download Report

Latest Updates

Latest Updates​

Tag(s):

Keep pace with the digital pulse of Southeast Asia!

Never miss an update or event!

Mouna Aouri

Programme Fellow

Mouna Aouri is an Institute Fellow at the Tech For Good Institute. As a social entrepreneur, impact investor, and engineer, her experience spans over two decades in the MENA region, South East Asia, and Japan. She is founder of Woomentum, a Singapore-based platform dedicated to supporting women entrepreneurs in APAC through skill development and access to growth capital through strategic collaborations with corporate entities, investors and government partners.

Dr Ming Tan

Founding Executive Director

Dr Ming Tan is founding Executive Director for the Tech for Good Institute, a non-profit founded to catalyse research and collaboration on social, economic and policy trends accelerated by the digital economy in Southeast Asia. She is concurrently a Senior Fellow at the Centre for Governance and Sustainability at the National University of Singapore and Advisor to the Founder of the COMO Group, a Singaporean portfolio of lifestyle companies operating in 15 countries worldwide.  Her research interests lie at the intersection of technology, business and society, including sustainability and innovation.

 

Ming was previously Managing Director of IPOS International, part of the Intellectual Property Office of Singapore, which supports Singapore’s future growth as a global innovation hub for intellectual property creation, commercialisation and management. Prior to joining the public sector, she was Head of Stewardship of the COMO Group and the founding Executive Director of COMO Foundation, a grantmaker focused on gender equity that has served over 47 million women and girls since 2003.

 

As a company director, she lends brand and strategic guidance to several companies within the COMO Group. Ming also serves as a Council Member of the Council for Board Diversity, on the boards of COMO Foundation and Singapore Network Information Centre (SGNIC), and on the Digital and Technology Advisory Panel for Esplanade–Theatres on the Bay, Singapore’s national performing arts centre.

 

In the non-profit, educational and government spheres, Ming is a director of COMO Foundation and Singapore Network Information Centre (SGNIC) and chairs the Asia Advisory board for Swiss hospitality business and management school EHL. She also serves on  the Council for Board Diversity and the Digital and Technology Advisory Panel for Esplanade–Theatres on the Bay, Singapore’s national performing arts centre.

 

Ming was educated in Singapore, the United States, and England. She obtained her bachelor’s and master’s degrees from Stanford University and her doctorate from Oxford.